Monday, October 17, 2016

การขอวีซ่าอังกฤษ [ UK Tourist Visa 2016]

หลังจาก blog ที่แล้วที่เราจองตั๋วกันเรียบร้อย
ขั้นตอนต่อไปก็คือต้องเตรียมเอกสารเพื่อขอวีซ่า
เรารอระยะเวลาอยู่ประมาณ สองอาทิตย์เพื่อให้พอดีกับเงื่อนไขที่ขอวีซ่าล่วงหน้าได้ 3 เดือนก่อนเดินทาง

มาดูกันว่าปีนี้ (2016) ต่างจากปีที่แล้ว (2015) ยังไงบ้าง
ลองย้อนดูบล๊อคของปีที่แล้วได้ตาม url นี้
http://rattanapornwon.blogspot.com/2015/08/uk-tourist-visa-2015.html

หลักฐานการยื่นยังคงคล้ายๆเดิม เขียนซ้ำไปละกันเนอะ เพื่อความอัพเดท 5555

เป็นสิ่งที่เราเตรียมไปยื่นนะ กรณีมีงานประจำ
แต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไข
เรายื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว Multi 6 เดือน

1.ใบนัด print จาเว็บ visa4uk
2.ข้อมูลที่เรากรอกในเว็บ visa4uk print มาทั้งหมด
3.พาสปอร์ตตัวจริง และ สำเนาพาสปอร์ต (ตอนเราไม่ได้สำเนาเตรียมไป เค้าจะมีบริการอยู่ด้านหน้าแผ่นละ 3 บาท)
4.สำเนาบัตรประชาชน (ไม่ต้องแปล)
5.สำเนาทะเบียนบ้าน (ไม่ต้องแปล)
6.ใบจดทะเบียนสมรส
    6.1  แบบสำเนา
              6.2  แบบฉบับแปลที่มีลงตราประทับและลายเซ็นรับรอง
7.ใบรับรองการทำงาน(ระบเงินเดือน/ตำแหน่ง/วันลา/วันที่จะกลับมาทำงาน) ภาษาอังกฤษ
8.แบงค์การันตีแปลงเป็นเงินปอนด์ ภาษาอังกฤษ จะเป็นแบบระบุจำนวนเงินเลยหรือระบุจำนวนหลักของเงินก็ได้
9. statement ย้อนหลัง 6 เดือน ภาษาอังกฤษ มีกี่บัญชีก็ยื่นได้หมด
10.การจองที่พัก ภาษาอังกฤษ
11.ใบจองตั๋วเครื่องบิน ภาษาอังกฤษ
12.แผนการเที่ยว(เตรียมเผื่อก็ได้ค่ะ) ภาษาอังกฤษ

ส่วนรูปถ่ายเดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้แล้วจ้าาา ไม่ต้องถ่ายให้เปลืองเงิน
ขั้นตอนการยื่นก็เหมือนๆเดิมเช่นกัน

1. ต้องเข้าเว็บ https://www.visa4uk.fco.gov.uk/home/welcome  เพื่อสมัคร Account และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
ซึ่งเยอะจริงๆ ถ้าทำไม่เสร็จภายใน 1 ครั้งก็สามารถ Save แล้วเข้ามาทำได้อีกหลายๆครั้ง กด Save แต่อย่ากดส่งนะจ้ะถ้ายัง
กรอกไม่เสร็จ
2. หลังจากกรอกข้อมูลครบแล้วก็นัดวันยื่นวีซ่า ชำระเงิน พอดีเราต้องยื่นวันเสาร์
ก็จะมีค่าบริการพิเศษที่ระบุในเว็บ เพิ่ม 63 ปอนด์  จ่ายเป็นเงินสดที่เค๊าเตอร์ยื่นวีซ่า

พอถึงวันยื่นก็ไปถึงก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง
สถานที่ก็คือ ตึก Trendy สุขุมวิท13 เหมือนเดิมเลยย ลงสถานี นานา

เป็นวันเสาร์คนที่ตึกก็ดูจะเงียบมาก
ไม่มีคนให้ติดต่อที่ชั้นล่าง ก็เลยเดินไปขึ้นลิฟด้านหลังขึ้นไปชั้น 28 เลย

พอถึงก็แบบมีคนมายื่นวีซ่าแค่เราสองคนเอง 5555
มีมารับวีซ่าบ้างประปราย
ก่อนเข้าก็ปิดมือถือ ผ่านเครื่องสแกน
แล้วเค๊าเตอร์ด้านหน้าจะเรียกเราเช็คเอกสาร ขอดูใบนัด แล้วให้เราเข้าไปข้างในเพื่อรอเรียกคิว

เมื่อถึงคิวเข้าช่องเค้าจะตรวจเอกสารและสอบถามว่าไปกับใคร
เราก็แจ้งไปว่าไปกับสามี เค้ากำลังยื่นช่องนี้



เสร็จเค้าก็จะถามว่าจะมารับหรือว่าให้ส่งไปรษณีย์ไปที่บ้าน
อ่อ มันจะมีค่า SMS ที่แจ้งด้วย 80 บาท
จะแจ้งอยู่ 3 step
1. แจ้งว่าเอกสารของเราไปถึงสถานฑูต
2. แจ้งเตือนว่าให้ไปรับ visa
3. แจ้งเตือนว่ามีคนมารับ Visa แล้ว

แล้วก็รอเรียกคิวเข้าห้องเพื่อถ่ายรูปและสแกนลายนิ้วมือ

รอ 15 วันทำการ จ้าาาาาาาาา
ปีที่แล้วเรายื่นคือรอ 15 วันทำการเต็มเลยนะ ถึงได้รับคืน

แต่ปีนี้เร็วมากๆ เรายื่นไปวันที่ 8/10/2016
วันที่ 14/10/2016 มี msg แจ้งให้ไปรับวีซ่าคืนได้แล้ววเท่ากับว่าใช้เวลาแค่ 7 วันเอง

จริงๆเจ้าหน้าที่แจ้งเราว่าจะส่งเอกสารไปวันจันทร์ เนื่องจากเรายื่นวันเสาร์
ถ้านับวันทำการจริงๆก็แค่ 5 วันเท่านั้น

เปิดพาสปอตดูตรวจสอบผลกัน ผ่านจ้าา ^^
เอกสารส่งคืนเกือบหมด ยกเว้น statement และ ใบรับรองการทำงาน




Wednesday, September 21, 2016

จองตั๋ว Promotion EVA Air :D

เนื่องจากแพลนเที่ยวปีนี้ออกแล้วววว
ตอนแรกตั้งใจจะไปญี่ปุ่นด้วยการบินไทย Full Service แบบครั้งก่อน กดดูราคา 18,890 บาท
ครั้งก่อนตั๋วฟรี 555

ไปๆมาๆ กดดูตั๋วไปอังกฤษ ของ EVA Air เล่นๆ เอ้ยย 25,385
ต่างกันหกพันกว่าบาท เริ่มลังเล ได้บินข้ามทวีปกันทีเดียววว :D



หลังจากสรุปกันแล้ว OK !! เราจะไปลันเดิ้นกันอีกรอบ
ก็จัดแจงขอลางาน 2 อาทิตย์ (อีกแล้ว ปีที่แล้วแกเพิ่งไปเองนะ)
แพลนไว้ไป 17 - 30/12/16  กลับมานิวเยียร์ที่บ้านเกิดเมืองนอน
หลังจากขอวันลาคือกดดูตั๋ววันพฤ. ขอลางานวันศุกร์ ตอนเย็นพอมากดดูราคาอีกรอบ
ตั่วราคา 31,xxx บาท คืออาร๊ายยยย หลังจากนั้นก็กดดูเรื่อยๆจะมีอีกมั้ยๆ
ก็ไม่โผล่มาซักทีราคาโปรโมชั่น

ตัดใจล่ะ สามหมื่นก็สามหมื่น =-= การบินไทยก็สามหมื่นอัพทั้งนั้น
หรือถ้าสามหมื่นถ้วนก็ต้องลดวันลงไปวันนึง ราคาไม่ต่างกับไปปีที่แล้วเท่าไหร่เลย
จนก่อนจะตัดใจ

กดดูอีกซักรอบน่าาา กรี๊ดดดดดดหนักมาก
ราคาโปรมาแล้วค่าาาา 23,485 บาท แต่ต้องจองตั้งแต่สองคนขึ้นไปนะ
เรื่องน้ำหนักกระเป๋าเค้าปรับเปลี่ยนหรือไงหว่าา คราวก่อนได้ 20  - 25 Kg.
คราวนี้ได้ 30 Kg. ชิวๆเลยยย
ถ้าจองคนเดียวก็ราคา 25,385 แต่ก็ยังดีกว่าสามหมื่นก่าละเนอะ





ในที่สุดก็ได้ตั๋วแล้วจ้าาาาา
วีซ่าก็ยังไม่ได้แต่ตั๋วมาก่อนละ ราคาโปรไปไวมาไวมาก

หลังจากจองก็เพิ่งรู้ว่า อ๋อมันเป็นโปรของ EVA Air เค้าออกมา
จองภายในวันที่ 19 - 25 กย. 16
เดินทางได้วันนี้ - สิ้นเดือนมีนา 17


แต่ก็นะโควต้าที่เค้าออกมาคงน้อย เพราะตอนเลือกที่นั่งขาไป ได้นั่งแยกกับพี่หนึ่ง
ห่างกันแค่แถวเดียวแต่นั่งตรงกันก็โอเคหน่อย
ไม่รู้ว่าไปที่หน้าเค๊าเตอร์ check in จะขอสลับอะไรได้มั้ย
แต่ขากลับที่นั่งยังมีให้เลือกนั่งติดกันอยู่


จริงๆการที่ยังไม่ได้ขอวีซ่าแล้วจองตั๋วเลยก็ค่อนข้างเสี่ยง แนะนำคือการวางแผนล่วงหน้ายาวๆหน่อย
เผื่อเกิดวีซ่าไม่ผ่านจะได้มีเวลาเตรียมตัวและยื่นอีกรอบ

แต่เราอาศัยว่าเรามั่นใจ 5555 (มั่นไปไหนนน )
ไม่ๆ คือเพราะปีที่แล้วเราก็ขอก็ไม่มีปัญหาอะไรผ่านฉลุย
เพราะจริงๆคือ เราว่าเงินในบัญชีก็สำคัญนะ
แต่ใบรับรองการทำงาน ที่ระบุวันลา ระบุวันกลับมาทำงานสำคัญกว่า
มีตรงนี้ก็หายห่วงเลย นอกนั้นก็สามารถจัดเตรียมได้สบายๆ

เราไปกลางเดือนธันวา ยื่นก่อนได้ 3 เดือนก่อนเดินทาง
เลยคาดว่าจะยื่นช่วงต้นๆเดือนตุลาคม

ไม่แน่ใจว่าขั้นตอนจะต่างกับที่เคยเขียนไปมั้ย
เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังใหม่

บายบ๊ายยยย :))



Koh Samui .. แฮปปี้ ที่เกาะสมุย [9/6/2016 - 12/6/2016]

มาสมุยรอบนี้ก็รอบที่ 3 แล้วววว ชอบจัง
รอบนี้พาที่บ้านไปเที่ยวด้วย ตั๋วบินตรงคงต้องตัดไปเพราะมันแพงมากจริงๆ
เลยจองของ Lion Air ไปกลับคนละ 2000 บาทถ้วนรวมทุกอย่างแล้ว โหลดกระเป๋าด้วยนะเออ

9/6/2016

เราออกจากบ้าน 6 โมงตรงออกเร็วหน่อยเนื่องจากวันธรรมดาถ้าออกสายกว่านี้รถติดแน่ๆ
ไปถึงจอดรถอะไรเสร็จก็เจ็ดโมงเกือบครึ่ง
( ไปกันหลายคน ขับรถมาจอดไว้ที่สนามบิน 2 คัน เพราะคิดออกมาแล้ว ถ้าแท๊กซี่ 2 คัน
ไปกลับ บางนา - ดอนเมือง ก็พอๆกับขับรถมาเองอยู่ดี สรุปจ่ายค่าจอดรถ 4 วันก็ตกคันละ 1000 บาท
ค่าจอดรถวันละ 250 บาท/วัน )

เช็คอินเรียบร้อยก็เข้าไปข้างในเลยย หาอะไรรองท้องในนั้น
8.35 เครื่องออกตรงเวลาดี ไม่มีดีเลย์ 





ถึงสนามบินนานาชาติสุราษฏร์ธานี 10.45
รอกระเป๋า ต่อแถวเข้าห้องน้ำ (ห้องน้ำที่นี่ไม่สะอาดเลย )
พวกเราก็ออกมาติดต่อตามเค๊าเตอร์ว่าเราจะไปท่าเรือดอนสัก อยากไปให้ทันรอบเที่ยง
พลาดตรงที่ไม่ได้จองล่วงหน้า =-=

เค้าบอกว่าถ้าจองล่วงหน้าจะมีรถมาจอดรอเลย ก็อ่านในเว็บเค้าว่าไม่ต้องจองก้ได้นีน่า
ตอนแรกๆ มีเจ้านึงเดินเข้ามาถามเรา บอก 2500 บาท 9 คนเหมารถตู้เลย
ตกลงไปแล้วด้วยนะ ออกไปรอรถ ปรากฏ มาบอกเราทีหลังว่าต้องรอ 45 นาที เอิ่มมมมม

แม่เลยไปจัดการหาเจ้าอื่นเลยย 5555
รอครึ่งชั่วโมง 1800 บาทเองจ้าา โชคดีไป ได้ถูกกว่าด้วย

ใช้เวลานั่งรถตู้จาก สนามบินไปท่าเรือดอนสัก 1.30 ไม่เกินนี้
ไปถึงท่าเรือ 12.00 เป๊ะ ตอนแรกกะว่าไม่ทันก็ไปรอบบ่ายได้
แต่ปรากฏว่า เค้าให้เราเข้าประตูด้วยย วิ่งๆ ในที่สุดก็ทันเรือรอบ 12.00
ถึงท่าเรือหน้าทอน เกาะสมุยก็บ่ายกว่าๆ

พักที่บ้านล้านดาวเหมือนเดิม
พอเข้าบ้านเราก็ไม่มีแพลนกันแล้วววันนี้
เห็นบ้านทุกคนก็ไม่อยากออกไปไหนแล้ว 5555

กินข้าว พักผ่อน นอนกันคนละตื่น
ตอนเย็นก็ลงเล่นน้ำ ชมวิว แฮปปี้ฝุดๆ




---------------------------------------------------------------------------

10/09/2016

ตื่นนเช้า กินข้าวต้ม น้ำเต้าหู้ ชีวิตสโลว์ไลฟ์
วันนี้พวกเราออกไปที่หินตาหินยาย แดดดีมากๆ ฟ้าใสๆ
ถ่ายรูปวิวสวยยยย







สักพักก็ขับรถกันไปที่ Jungle Club เป็น Resort (ไม่มีห้องแอร์) และ ร้านอาหารเครื่องดื่ม
ส่วนใหญ่คนขึ้นมาจะสั่งเครื่องดื่มกันมากกว่า
เพราะวิวมันสวยมากๆ อยู่บนเขา แล้วมองเห็นวิวทะเลของเกาะสมุย สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
คิดว่ามันกำลังเป็นสถานที่แนะนำในเว็บพันทิปด้วยนะ
ไม่เสียค่าเข้าแต่ก็สั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้วเป็นรายได้ให้เจ้าของเค้าหน่อยเนอะ
ห้องน้ำที่นี่สะอาดด้วยล่ะ





เสร็จเรียบร้อยก็ไปวัดพระใหญ่ แดดร้อนมากจริงๆ
เราเคยมาแล้วกะว่าคงไม่เดินขึ้นไปข้างบน 555 เดี๋ยวรอข้างล่าง
ปรากฏเค้าปิดทางขึ้น เพราะกำลังซ่อมแซมบูรณะอยู่ ก็เลยได้ไหว้จากข้างล่าง
หน้าทางเข้าวัดจะมี Pancake ขาย จริงๆมันคือโรตีบ้านเรานี่แหละ =-=
แต่อร่อยนะ ร้อนๆ กรอบๆ ลองๆ 




ประมาณสามทุ่ม ออกไปดู beach bar กันว่ามันเป็นยังไง
ดื่ม กิน นั่งตากลมทะเล ดูโชว์
-------------------------------------------------------------------------

11/06/2016

วันนี้สายๆพวกเราออกไปที่ร้าน The Island
ชื่อเก่าชื่อ five Island อะไรเนี่ยล่ะ
เพราะมองวิวจากร้านจะเห็น 5 เกาะ อยู่ไกลๆ
แดดดีอีกแล้ววันนี้ 









-------------------------------------------------------------------------

12/06/2016

เครื่องออกจากสนามบินสุราษ บ่ายสาม
เลยต้องออกมาขึ้นเรือรอบ 10 โมง ถึงฝั่งสุราษ 11 โมงกว่าาาๆ
ขากลับเราจองรถตู้ไว้แล้ว พอลงจากเรือก้มีรถตู้มารอรับเลยยย
ถึงสนามบินเวลาสบายๆ กินข้าวกลางวันกัน รอขึ้นเครื่อง
ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ จบทริปแฟมิลี่ 










Friday, February 19, 2016

Singapore 3 Days 2 Nights [23/01/2016 - 25/01/2016]

สิงคโปร์เที่ยว 3 วัน 2  คืนก็คิดว่าเพียงพอแล้ว
อยู่นานๆ เราว่า เราเบื่อ 555555555

เริ่มต้นค่าตั๋วรวมกับที่พัก ราคา 3600 บวกค่าชาร์จรูดบัตรเครดิตอีก 300
รวมตั๋วที่พักทั้งหมดราคา 3900 บาทถ้วน ถือว่าถูกสุดๆ

23/01/2016

เรากับเพื่อนทั้งหมด 6 คนนัดเจอกันที่สุวรรณภูมิตอนหกโมงครึ่ง
เครื่องออก 9.10 นัดไว้กันเลท

พอเปิดให้ check in พวกเราก็เอาเลย
กระเป๋าเราไม่ได้ซื้อน้ำหนัก ลากกระเป๋าใบเล็ก น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกันคนละใบ
ก็พอแล้วว




โชคดีพวกเราไม่เจอไฟล์ทดีเลย์ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของ Tiger เลยก็ว่าได้ (อ่านรีวิวมา)
เครื่องเล็กกระทัดรัด กลัวเรื่องเครื่องสั่นมาก
แต่ขาไปฟ้าปลอดโปร่ง เครื่องไม่สั่นเลย นักบินขับโอเคเลย

มาถึงด่านตม. คนอื่นผ่านกันง่ายสุด พวกเรา 6 คนติดตม.กันอยู่ซักพัก =-=
คงเป็นเพราเขียนที่พักไม่ละเอียด เค้าเลยขอดูนู่นนี่เยอะเลยทีเดียว

พอผ่านมาแล้วพวกเราก็ลากกระเป๋าลงไป MRT ซื้อบัตรแบบ topup
ไปกินข้าวมื้อกลางวันกันก่อนที่ Changi City Point  ที่นี่มีของให้ช๊อปนะ 






แล้วเราก็ลากกระเป๋าเตรียมไป check in ที่  http://www.bunchostel.com/  อยู่ในย่าน Little India
เป็น Hostel ที่สะอาด ห้องน้ำเพียงพอ แต่เราเจอคนร่วมห้องที่ประหลาดๆซะส่วนใหญ่
อาจจะเพราะเราไม่คุ้นเคยกับการนอนร่วมห้องกับคนไม่รู้จักละมั้ง 5555
แต่ถ้าใครเน้นประหยัดงบ เราแนะนำครัช เราว่าดีกว่า Hostle เจ้าอื่นๆ

เก็บกระเป๋าเสร็จ ก็พักกันนิดหน่อย ก็ออกไปโซน Merlion
ดูสิงโตพ่นน้ำ ดูตึกเรือ Merina Bay และกินมื้อเย็นแถวๆนั้นเลย













แล้วก็เดินไปเรื่อยจนถึง Singapore Flyer ตอนแรกว่าจะขึ้นกันตั้งแต่วันนี้เลย
แต่เพื่อนบอกว่าถ้าเราไปซื้อบัตรย่าน chinatown จะถูกกว่าครึ่งๆเลย
พวกเราก็แน่นอน โอเคค่ะ จะได้ประหยัดเงินด้วย

กลับมาเดินห้างมุตตาฟา ซึ่งห้างก็อยู่ใกล้ๆที่พัก
เดินประมาณ 15 นาทีถึง น้ำหอมถูกมาก เพื่อนบอกมานะ
เพราะเราไม่ได้ใช้น้ำหอม เห็นเพือนๆขนกลับกันตั้งหลายขวด
ขนม ชอคโกแลต ก็มีให้เลือกเยอะแยะ เป็นห้างที่อยากได้ของถูกต้องมานะ คิคิ

กลับถึง Hostle เที่ยงคืนกว่า
หมดแรงขามากมาย ดู iphone ว่าเดินไปเท่าไหร่ 12 กว่ากิโล
บายค่าาาาา วันนี้ =-=
ซื้อที่นี่ถูกแน่นอน

-------------------------------------------------------------------------------------

24/01/2016

เริ่มเที่ยว Singapore วันที่สอง พวกเรานั่งคุยกันว่าจะไม่เข้า Universal
เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์จะคนเยอะ ไม่คุ้ม

มื้อเช้าเรานั่ง MRT ไปลง chinatown  เพื่อจะกิน Yakun Kaya Toast
แบบว่ามาถึงนี่ต้องอันนี้นะ 55555
แล้วเราก็แวะถ่ายรูประหว่างทางกันอยู่นานเจอกำแพงสีน่ารักๆ 







และไปซื้อบัตร Singapore Flyer กับ บัตร Skyline Luge เครื่องเล่นที่ Sentosa
ซื้อที่ chinatown ถูกว่าครึ่งๆ เราว่าอารมณ์เหมือนเอเจ้นบ้านเราน่ะ

ซื้อบัตรกันเรียบร้อยเราก็นั่ง MRT ไปลงสถานี Sentosa เลยจ๊าาา
พอถึงแล้วมันๆต้องต่อรถไฟของ Sentosa เข้าไปอีก
จะมีอยู่ 4 สถานีด้วยกัน
1. Sentosa Station เป็นสถานีที่เราต้องต่อรถไฟน่ะเอง
2. Waterfront Station เป็นสถานี Universal Studio
3. Imbiah Station เป็นสถานีที่เราจะไปดู Merlion ตัวพ่อ
4. Beach Station เป็นสถานีปลายทางที่ติดกับหาด Siloso Beach เป็น ชายหาดที่ทำขึ้นมา

เราลง Beach ก่อน ไปถ่ายรูปกับทะเล Singapore ซะหน่อย
ว่าแต่ทะเลบ้านเราสวยกว่าแยะ
แล้วๆก็ไปเล่น Skyliner ที่ซื้อบัตรมา เราต้องนั่งกระเช้าห้อยขาโตงเตงขึ้นไปก่อน
มือนี่เกาะแน่นเชียวครัช มือถือจะหยิบมาถ่ายรูปยังสั่ง 55555
พอถึงก็ไปเอารถคนละคัน ไถลลงมา สนุกกก แต่อ้าวว แปบเดียวถึงล่ะ =-= 








แล้วๆๆก็เดินเพื่อไปดู Merlion ตัวพ่อที่เห็นเมื่อวานตัวลูก
สถานีนี้จะเป็นร้านขายของฝาก จุกจิก น่ารัก เราก็สอยมาสองสามชิ้น




เดินไปเรื่อยๆก็มาถึงสถานีแรกที่เป็น Universal ลูกโลกหมูนไปมา
ที่ใครมาก็ต้องถ่าย เอออมาถึงละนะ เข้าไม่เข้าอีกเรื่อง กร๊ากๆๆๆ เหมือนพวกเรา




พอจบจาก Sentosa ก็ถึงเวลา shopping
เรามาที่ Orchard Road ร้านที่พอเข้าไปก็เจอแต่คนไทย
Charles & Keith  แต่ยอมรับว่าราคาถูกกว่าบ้านเรามากโข
เราได้กระเป๋าสะพายมาใบนึง น่ารัก คิคิ

เราจบมื้อเย็นที่ฟู๊ด ด้วยข้าวมันไก่
ยังๆๆ ยังไม่จบง่ายๆ เรายังมีบัตร Singapore Flyer อยู่
ป่ะๆ ไปต่อแถวขึ้นดีกว่าา แถวยาว แต่ว่าไหลได้เรื่อยๆ แปบเดียวก็ได้ขึ้น
ขึ้นได้ตู้ประมาณสิบกว่าคนได้ รอบนึงประมาณ 30 นาที
ถือว่าได้นั่งพักหลังจากเหน็ดเหนื่อย เดินทั้งวัน





จบรอบพวกเราก็กลับที่พัก
อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้พักจ้าาา เพื่อนๆลากกันออกไปซื้อของที่มุตตาฟาอีกแล้ว

กลับมาก็ใกล้ๆเที่ยงคืน แพคกระเป๋า อาบน้ำ เข้านอนเลย
นอน Hostel เนี่ยคือ เข้ามาอาบน้ำ นอนเลยนะ เพราะมันไม่รู้จะทำอะไรดี
คนเต็มไปหมด 5555

------------------------------------------------------------------------

25/01/2016

วันสุดท้ายแล้ว เราตื่นกันเช้ากว่าทุกวัน อาบน้ำเก็บกระเป๋ากันเรียบร้อย
ก็ฝากกระเป๋าไว้ที่ Hostle ก่อน เราเดินเท้ากันอยู่ซักพัก เพื่อกินข้าวเช้าแบบชาวจีนๆ
เป็นร้านที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวเลยนะ ไม่รู้เพื่อนหาร้านได้ยังไง





เสร็จแล้วเราก็จะไปวัด วัดพระเขี้ยวแก้ว 
ข้างๆวัดมีร้านขายของฝากเพียบ พูดไทยได้ด้วยค่าาาา ถ้าคนไทยลดให้เท่านี้ๆ -..-
เราอยู่กันโซนนี้จนถึงเวลาต้องกลับไปเอากระเป๋าเลย







กลับ Hostel เอากระเป๋า จัดกระเป๋าแบ่งน้ำหนักกันก่อน 555
แล้วก็นั่งรถไฟไป Airport

กลับบ้านแล้วนะ
บ๊ายบาย Singapore



Friday, January 8, 2016

อร่อยแบบญี่ปุ่น ที่ " Soba Juban "



ฮัลโหลล .. ลองมาเขียน Review ร้านอาหารกันบ้างดีกว่า
วันนี้เลิกงาน พี่หนึ่งอยากจะกิน โซบะเย็น
เราก็เลยทำการบ้านหาร้านแถวๆ พร้อมพงษ์ดูก่อน

เจอร้าน Soba Juban อยู่ซอยสุขุมวิท 33 เดินเข้าไปในซอยนิดเดียว
สังเกตด้านขวาจะเจอป้ายตามรูป แต่ยังไม่ใช่ป้ายชื่อร้านที่เราจะไปกินนะ





ให้เข้าซอยเข้าไปโลด เดินไปเกือบจะสุดซอย
จะเจอป้ายสีดำ มีชื่อร้านภาษาอังกฤษ ตัวเล็กๆ ว่า Soba Juban



พอเข้าภายในร้าน จะมี 2 ชั้น
ชั้นล่างจะนั่งเป็นเค๊าเตอร์ ส่วนชั้น 2 จะ เป็นโต๊ะๆ private ด้วยการปิดม่านกั้นด้วยนะ สุดยอด 555
ไม่แน่ใจว่าคนญี่ปุ่นต้องการความ private ขนาดนี้

พนักงานถามว่า รู้จักร้านนี้ได้ยังไงค่ะ พอดีว่าลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่
จะเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งหาร้านมาจาก Magazine  
เราก็เลยบอกไปว่า อ๋อ หามาจาก internet ค่ะ ^^





ถึงเวลาเลือกเมนู ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาอังกฤษ 
ก็เลยถามพนักงานอันไหนโซบะเย็น พนักงานอธิบายดี๊ดี
เราสั่ง EBI TEN SEIRO คือเทมปุระที่มีผักและก็กุ้ง

ส่วนเมนูอื่นๆ จำไม่ค่อยได้  =-= 
YASAI TEN SEIRO คือผักอย่างเดียว
ANSGO TEN SEIRO จะเป็นพวกตระกูลปลาไหล 

พอเราเลือกชุดข้างล่างเสร็จเค้าก็จะถามว่า
เอาโซบะ ขนาด เล็ก หรือ ใหญ่จ้าาา

เมนูโซบะเย็น


เมนูโซบะร้อน
ถ่ายรูปมาเพิ่งเห็นว่าชื่อเมนูเหมือนกันแค่มีวงเล็บ HOT ด้านหลัง 

ระหว่างรอ พนักงานจะเอาออเดิร์ปมาให้เราคนละชุด
จริงๆมันก็คือ ผักดอง เค้าบอกว่าสำหรับลูกค้าที่ดื่มแอลกอฮอล
แต่เค้าอยากให้เราได้ลองชิม ใจดีจัง ขอบคุณค๊าา ^^



แปบนึงเมนูหลักก็มา ชุดใหญ่เชียวว กินเสร็จนี่จุกมากจริงๆ 
ซอสจิ้มมันเยอะแยะไปหมด เค้าคงได้ยินเราคุยกัน
พนักงานเลยเปิดม่านมาถามว่า อร่อยมั้ยค่ะ ฮาๆๆๆ ยังค่ะ ยังไม่ได้กิน
สงสัยเรื่องน้ำจิ้มอยู่ 
ที่อยู่ในถ้วย สีแดงเข้มๆ นั้น ก็เบสิคไว้จิ้มเทมปุระ
ในเหยือกขาว เป็นน้ำใส่ถ้วยสำหรับโซบะ
แล้วในเหยือกสีแดง (อันนี้สงสัยที่สุด)  พนักงานบอกว่ากินโซบะเสร็จ
ก็จะเทน้ำในเหยือกผสมลงไปแล้วกินล้างคอ โอเค วิถีชีวิตคนญี่ปุ่นลองดู
แต่ลองแล้ว เราว่าเอาน้ำชาเขียวเย็นล้างคอง่ายกว่า 555555




เอ้ย เราไม่พูดถึงโซบะเย็นเค้าได้ยังไง 
โซบะไม่ผสมแป้งอื่น เป็นโซบะล้วนๆ 
อินี่ยังสงสัยอยู่ โซบะมันทำจากอะไรเนียยย ต้นโซบะ !! 
จากต้นโซบะก็จะได้แป้งโซบะนะค๊าาาา  นี่ที่ทำเองกับมือ

เส้นมันจะไม่นิ่มเหมือนตามร้านฮะจิบัง
แต่กินแล้วรู้สึกถึงความเป็นต้นตำหรับเลยยย เดี๋ยวๆ ขนาดนั้นเชียวว
จริงๆนะ รู้สึกกินแล้วทำไมมันดูญี่ปุ่นๆ กินเปล่าๆก็อร่อย
อร่อยแบบนี้ราคาเกือบตกใจนะ





อ้วนแล้วก็อ้วนต่อไปเถอะ -..-


อิ่มแล้วก็โผล่หน้าที่ผ้าม่านสีแดงๆ บอกคิดตังค์ด้วยค่ะ
ราคามาแล้ววว 1,1xx บาท
ไหนๆเอามาดูซิ๊ 

ราคาชุดเทมปปะรุ + โซบะ Regular 390บาท
ราคาชุดเทมปปะรุ + โซบะ Large 490 บาท
ชาเขียวเย็นแก้วละ 50 บาท
Tax 7%
Service 10%


ถ้าความ original แบบเหมือนกินที่ญี่ปุ่นไม่ต้องซื้อตั๋วไปกินถึงที่นู่นก็คุ้มนะ 
อร่อย พี่หนึ่งนี่ชอบเลยยย ราคาแอบแรงนิดนึง นานๆกินที ก็พอไหว 55555
คิดว่าน่าจะเป็นเพราะค่าที่ด้วย
แต่พนักงานนี่ดีเลิศ ตอนจะกลับก็โค้ง อะริกะโตะโกซาเอมัส ตั้งแต่ชั้น 2 จนส่งถึงหน้าร้าน


อิ่มแล้วววว เงินก็หมดแล้ว กลับบ้านกันเตอะ
 Happy Friday จุ๊บๆ