Friday, May 15, 2015

2 days 1 night in Kanchanaburi

ทริปนี้มาเที่ยวกับเพื่อนมหาลัย
โยนเหรียญถามทางมาหยุดที่ "กาญจนบุรี"  นะจ้ะ

พวกเราเช่ารถตู้เหมือนทุกๆครั้ง จะได้ไม่มีใครเหนื่อยมาก
ถ้าเหนื่อยหรือง่วง พวกเราก็หลับกันได้ทุกคน เสมอภาค 5555 




( รูปจาก Facebook เพื่อน )

4 April 2015

รถตู้จอดรอที่ลานจอดรถหมอชิต
(รถตู้เจ้าไหน ไม่แนะนำละกันเนอะ เพราะพวกเราไม่ค่อยประทับใจ ไม่ค่อยช่วยเหลือเท่าไหร่)
เก้าโมงกว่าๆพวกเราก็เริ่มเดิมทาง รถเยอะ แต่ก็ไม่ติด ไปได้เรื่อยๆ

ที่แรกที่เราแวะคือร้านอาหาร ฮาๆๆๆ ถึงกาญก็ประมาณเที่ยงแล้ว
เราแวะร้านอาหารคีรีธารา อยู่ อ.เมืองกาญจนบุรี ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำแควเลย
อ่านเว็บไหนก็แนะนำร้านนี้ .. กะว่า นั่งกินไป ชมแม่น้ำไป

แต่ !! อากาศร้อนมากคะ พวกเราขอโซนห้องแอร์เลย

กินเสร็จก็ไปเดินเล่นสะพาน โอโห เดินเล่นกันตอนแดดกลางหัว = =
มันร้อนมากกกก แต่เราก็อยู่กันสักพักเลยนะ ถ่ายรูปกันจนอิ่ม 555 









เสร็จก็มานั่งรอรถตู้ ไป check in ที่พัก
พวกเราพักกันที่ บูติก ราฟ รีเวอร์แคว

http://www.boutiqueraft-riverkwai.com/
รูปสถานที่ดูได้จากในเว็บโลดดดด สวยตามรูปนั่นแหละ
ถือเป็นที่พักที่โอเคมากเลยนะ บริการดี สถานที่สวย น้ำใช้สะอาด
แต่ห้องพักที่นี่ไม่เก็บเสียงนะคะ พูดในห้อง ข้างห้องก็ได้ยินเหมือนกันหมด 5555






มื้อเย็นฝากท้องไว้กับรีสอร์ทจ้าา อาหารรสชาติใช้ได้ฮะ


5 April 2015

ตื่นเช้า อาบน้ำกันออกมาเลย กินข้าวเช้าเป็น buffet
อาหารเช้าน่ากินไปหมดที่นี่ คุ้มเลยนะ

รถตู้มารับก็ออกไปซื้อของฝาก เผือกทอด ! ทอดกันสดๆ
ร้านก็โซนตรงข้ามน้ำตกไทรโยคน้อย
ระหว่างรอก็เลยไปเดินเล่นน้ำตกกัน
ดูข้างล่างไม่พอคะ เราต้องรู้ที่มาที่ไปของน้ำตก เลยพากันเดินไปดูต้นน้ำ





(Selfie กับน้ำตกด้านหลัง)

 มีคนแนะนำขึ้นรถคนละ 10 บาทมั้ย ไกลนะ ไปมั้ย ไปมั้ย ไปมั้ย
พวกเราก็ ไม่ไปคะ อยากเดิน เป็นไงล่ะ = =
ตอนแรกๆก็มีร่มไม้ สักพัก เฮ้ยยยย ไม่มีเลย แดดล้วนๆ  555555555555
เห็นต้นน้ำ นั่งพัก สักแพรพพ ก็ให้เจ้าหน้าที่เรียกรถรับจ้างให้หน่อย
เดินไม่ไหวจริง ๆ

* อย่าลืมแวะซื้อเมล่อนด้วยนะ หวาน อร่อย ร้านก็ระหว่างทางแถวนั้นเลย 

ร้านไหนก็ได้ คงเหมือนๆกันหมด

แล้วก็นั่งรถ หลับยาวถึง นครปฐม แถวๆบางเลนมั้งเราไม่แน่ใจเรื่องเส้นทาง
แวะกินอาหารทะเลเผา โจ้กุ้งเผา  (search ใน internet มีแนะนำ)
ร้านธรรมดา นั่งลมร้อนๆเป่าเลยแหละ แต่อร่อยยย ที่ชอบสุดก็ กุ้งเผา และ หอยเชลล์ย่างเนย


จบทริปเล็กๆสั้นๆ กาญจนบุรี




( รูปจาก Facebook เพื่อน )

 VDO : http://youtu.be/vhn8B13BUaM




Relax time @ Koh Samui ช่วง Songkran Festival

11 April 2015

เริ่มเดินทางจากกรุงเทพ เกือบ 6 โมง คิดว่าเป็นเวลาที่สายมาก
สำหรับช่วงเทศกาล
กว่าพวกเราจะถึงท่าเรือของซีทราน เฟอรี่ก็ 19.45 แล้ว
แต่เรือเที่ยวสุดท้ายออกไปตั้งแต่ 19.00 ถึงเราจะจองเที่ยวเรือ
แต่ก็มาไม่ทันอยู่ดี - -"

คืนนี้เราต้องหาห้องพักที่อยู่ใกล้ๆท่าเรือ เพื่อจะตื่นมาเอารถไปต่อคิวลงเรือ

12 April 2015

ตื่นตั้งแต่ตี 3 ออกมาต่อคิวตอนตี 4 คะ โอ้ยยย เช้ามาก
เทศกาลสงกรานต์แบบนี้คือเราว่าเราเช้าแล้ว แต่รถก็ออกมาต่อคิวเยอะมากแล้วด้วย
เรือรอบแรกมีตอน 05.00 แต่พวกเราได้เรือรอบ 06.30 (เป็นรอบเสริมในช่วงเทศกาล)
เพราะปกติจะมีแค่รอบ 06.00 และก็ถัดไปอีกชั่วโมงนึงเลย


Note ข้อมูลไว้นิดนึง อันนี้เว็บสามารถดูข้อมูลเที่ยวเรือ
http://www.seatranferry.com/   
* ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงจะสามารถโทรจองคิวเรือได้





ถึงท่าเรือเกาะสมุยเกือบๆ 08.00
ขึ้นฝั่งก็ยิงตรงไปบ้านล้านดาวเลย ที่พักของเรา เย้
บ้านหลังนี้เป็นของพี่สาวกับพี่เขยตาแว่นนะคะ อยู่ตรงบางปอ มั้งนะถ้าจำไม่ผิด

ปกติก็เปิดให้แขกได้เช่าพัก ซึ่ง rate ราคา ก็คิดว่าเหมาะกับชาวต่างชาติมากกว่า


http://www.come2samui.com/html/laan_dao1.html 
 
คือเรามาเกาะสมุยครั้งที่ 2 แล้วก็ไม่เคยได้ไปลงทะเลหรอก
เราอยากอยู่บ้าน บ้านสวย เดินขึ้นลง ว่ายน้ำ มันก็พอแล้ว ทริปพักผ่อน










ตอนบ่ายๆ จองตั๋วหนังจ้าาา ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มาสมุย ดู FAST7 ที่โลตัส

ตกเย็น ว่ายน้ำ กินอาหารทะเล โฮะๆ





13 April 2015

ฝนเริ่มตกแล้ววันนี้ตกทั้งวันเลยจริง ๆ
สงกรานตืที่สมุยเค้าเล่นน้ำกันวันเดียวเท่านั้นนะ
แต่เราก็ไม่เล่นหรอก ขับรถเล่นรอบเกาะ ดูบรรยากาศสงกรานต์จ้ะ





14 April 2015

ครึ้มอีกแล้ว = =
แต่ก็อยากออกไป  วันนี้ออกไปหาดเฉวง เดินเล่น กินลม ชมบรรยากาศ
แล้วฝนก็ตกอีกแล้ววว จองตั๋วหนังโลดดดด ดูพระนเรศวรภาคสุดท้าย
พรุ่งนี้ต้องกลับแล้วว เป็นทริปพักผ่อนจริงๆ







15 April 2015

วันนี้ตื่นแต่แปดโมง โอ้โห ฟ้าสว่างกว่าวันก่อนนิดนึง 555
เลยรีบอาบน้ำแต่งตัว
ออกไปกินขนมจีนเจ้าอร่อย ลืมชื่อ = = แต่ถ้ามาสมุยต้องมากินนะ
แล้วพี่นาก็พาขึ้นไปชมวิวที่ Jungle Club 





 

แวะไหว้พระใหญ่ก่อนเดินทางนิดนึง เพราะอยู่ใกล้ๆสนามบินอยู่แล้ว
เสร็จก็พาไปส่งสนามบิน เครื่องออก 15.00
ถึงกรุงเทพ 16.00 รวดเร็ว ไม่เหมือนขามาเลย

ถือเป็นทริปพักผ่อนมากๆ
ไม่ต้องมีแพลนเยอะ
วันนี้อยากไปไหนก็พากันไป
วันไหนอยากตื่นสาย นอนเล่นที่บ้าน ก็อยู่






จบทริป สมุยกับเทศกาลสงกรานต์
ยังไงก็ได้ไปอีกบ่อยๆแน่นอน ^^



ปล. ถ้าใครมาสมุยช่วงเทศกาล แนะนำว่าให้ขึ้นเครื่องมาลงสมุยเลย จะสะดวก

และซื้อเวลาได้เยอะมากๆ เราใช้บริการของ Bangkok Airway

Thursday, May 14, 2015

8th March 2015 : NP Wedding

พูดถึงงานแต่ง เคยนึกไม่ออกเหมือนกันว่า มันจะเป็นแบบไหน
มันเป็นภาพที่เดายากอ่ะ

แต่ ..
พอนึกถึงบรรยากาศวันนั้น
ก็ยังคิดถึง มันเป็นวันที่เป็นวันของเราจริงๆ
มันเหมือนหนังสั้น ที่มีเราเป็นตัวละครหลัก
เราเชิญแขกมาน้อย 
แต่มันก็ดูเหมาะกับสถานที่และบรรยากาศ

เรามีความสุข ทั้งๆที่เราเหนื่อยมาตลอดกับการเตรียมงาน



VDO :  https://www.youtube.com/watch?v=uga8AMPiYRk


-----------------------------------------------------------------------

All About Wedding


 

ชุดไทยตอนเช้าทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- เราเช่าจากร้าน Lorra by Mosiour  ในร้านมีชุดไทยให้เลือกเยอะมากจริงๆ 

แต่ตอนเราไปเราดูแบบในเว็บ และเจอแบบที่มีไว้ในใจแล้ว
ไปถึงร้านก็บอกว่าอยากได้ชุดแบบนี้นะ 

เค้าก็เอามาให้เราเลือก เราลองคะ 
ซึ่งเราลองแล้วก็แบบมันใช่แล้วสำหรับเรา 555
คุยกับพี่หนึ่งไม่ถึง 5 นาที ตกลงวางมัดจำ fitting หลังจากวันจอง อีก 3 ครั้ง
การบริการ ดีมาก แต่ร้านนี้จะให้ถ่ายรูปก็ตอนลองครั้งถัดไปนะ





ชุดแต่งงานราตรี
- เป็นอะไรที่หาอยู่ร้านหลาย หาในเน็ตนะ ดูแบบ สุดท้ายเรามีร้านในใจ 2 ช้อย
เราไปร้านช้อยแรกในใจก่อน คือ fullrich bride 

ต้องนัดก่อนนะ ไม่งั้นคิวเต็ม คนเยอะมากจริงๆร้านนี้
เข้าไปที่ร้าน แจ้งชื่อ ก็พาเราไปทัวร์ก่อนว่า ห้องนี้ชุดราคาเท่านี้ๆ 

ส่วนห้องนี้ราคาตั้งแต่เท่านี้ถึงเท่านี้
จริงๆก็มีชุดในใจอยู่ด้วยเหมือนกัน ก็เลยเอาให้คอสตูมดู 

เค้าบอกว่าชุดนี้อยู่ห้องนี้ค่ะ ห้องที่ราคาแพงสุดค่ะ 55555555555 ตาถึงจริงๆเรา
ลองปุ๊บ เฮ้ยยยยยยย ชุดนี้มันเกิดมาเพื่อเรา เอาชุดนี้เลย !!
แต่เพื่อไม่น่าเกลียดลองอีกสักชุดล่ะกัน 

พอลองแล้วมันก็ไม่ใช่อ่ะ สรุปชุดแต่งงานเราลองไปสองชุดถ้วน ได้ชุดแรก เนื้อคู่สุดๆ
พี่หนึ่งเห็นพ้องต้องกันว่ามันโอเคมาก สำหรับหุ่นแบบเรา 

แพงแค่ไหน เอาไปเหอะ มันคุ้มกับการบริการ และเช่าชุดที่นี่ ก็จบที่นี่ทุกอย่าง
ไม่ต้องไปหาซื้ออะไรเพิ่มแล้ว มีครบ เชียร์เลยจิงๆร้านนี้

ชุดสูทผู้ชาย
- อยากได้สีที่มันไม่มีทั่วไปอ่ะ
 ก็เลยบอกพี่หนึ่งว่าตัดเหอะ
ก็เลยได้ที่ร้าน ดีกรี อยู่ใต้โรงหนังลิโด้ บริการดีมากๆ 
แนะนำเลย ราคาสูงไปนิดนึง แต่กับคุณภาพ และ บริการ เราว่ามันคุ้มนะ
ใช้เวลาตัดจริงๆประมาณ 2 อาทิตย์แต่ช่วงที่ไปมันดันติดปีใหม่

ลองครั้งแรกมีต้องแก้ปรับเข้า ปรับออกกันอยู่บ้าง
ครั้งต่อไปก็ไปรับได้เลยยยย แพคเกจก็เรียบร้อยดีมาก 





ช่างแต่งหน้าช่วงเช้าและเย็น
- อันนี้คือเลือกจากการอ่าน Review และดูผลงานจากเว็บล้วนๆ เราเลือก พี่ปิง make up
ตอนเช้า แต่งหน้าเราสวยมากอ่ะ เอาจริงๆ เอาหน้าโทรมๆอยู่นี่สุดยอด
มางานเย็นคนละลุคเลยจ้าาา หวานยิ่งกว่าเดิม
เราชอบที่แต่งแล้วหน้าเราไม่ดูหลอก ดูหวาน แบบธรรมชาติ 

ถึงแม้ธรรมชาติของเราจะไม่มีความหวานเลยก็ตาม 555555555
พี่ปิงจะดูและทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวเลยย เสียเงินต่อเดียว


Organizer งานเช้า
- เราจัดงานเช้าที่บ้าน เรื่องให้ organizer มาช่วยนี่ถือว่าเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดจริงๆ 

เราไม่เหนื่อยมากด้วยไง
จัดสถานที่ อาหาร ของว่าง พิธีการ เราให้ Banana Leaf Wedding ช่วยจัดงานเช้า
อาหารอร่อยอยู่นะ แต่เราได้กินไปนิดเดียวจริงๆ เรื่องอาหารคงต้องให้คนอื่นพูด
แต่เรื่องพิธีการนี่ครบถ้วนมาก พี่แมวเจ้าของพูดคุยใส่ใจลูกค้ามากๆ
พิธีกรก็ขั้นเทพ แม่นี่ติดใจเลย รวมถึงพนักงานที่ติดตั้งและบริการวันงาน ดีนะ
คือถ้าจะเสียเงินจ้างเราว่าก็ไม่ผิดหวัง





 

สถานที่งานเย็น Mellow Garden Wine & Dine Restaurant
- เนื่องจากงานเย็นเราขอเลยไม่เอาฟิลโรงแรมนะ ขอเหอะ เบื่อความจำเจ
โรงแรมมันจุดไฟเย็นไม่ได้ด้วย นี่มันความฝันเรานะ 55555555 โอเคๆ จัดร้านก็ร้าน
ก็เลยต้องสรรหา ร้านอาหารที่ต้องได้ทั้งอาหาร และบรรยากาศ ยากตรงนี้
แต่อะไรไม่รู้ดลใจ เปิดเจอเว็บของร้าน Mellow cafe (ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Mellow Garden)
ก็เลยโทรนัดขอดูสถานที่ เข้าไปปุ๊บ เดินดู เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย มันใช่อีกแล้ว
ถูกใจเรามากๆ แต่ ! เราไม่ได้แต่งงานคนเดียวนะคะ ต้องถามฝ่ายพี่หนึ่งด้วย
พี่หนึ่งที่นานๆทีจะถูกใจใช่เลย ก็ให้คำตอบว่า ชอบเหมือนกัน ฟ้าฝนไว้ทีหลัง
สามวันหลังจากเข้าไปดูก็โอนมัดจำทันที ไม่คิดเยอะ





 

เรื่องอาหารและขนมหวานเราว่าที่นี่ใช้ได้นะ คือเราลองไปกินก่อนวันงานมาแล้วล่ะ
แต่วันงานบอกเลย ได้กินข้าวผัด กับต้มยำ จบปิ๊ง 

และเรื่องบริการก็น่าจะโอเคนะ สอบถามเพื่อนๆพนักงานเดินตลอด

และคนที่เราติดต่อประสานงานก็อยู่จนงานเราเลิก เที่ยงคืนคะ
คงจะไปร้านนี้อีกบ่อยๆ ฮาๆๆ เป็นความหลังงี้ 






Organizer งานเย็น
- เราจัดร้านอาหารใช่ป่ะ ซึ่งร้านอาหารไม่เหมือนโรงแรมที่มีแพคเกจ

จัด backdrop จัดดอกไม้ ตกแต่งสถานที่ให้พร้อม
เราต้องหา organize เข้าไปจัดสถานที่เอง เราดูจาก web อีกเหมือนเดิม

เจอกับคุณหมิว (la couture wedding)
ให้ทางคุณหมิว จัดเรื่องสถานที่ และประสานงานแทนเราในวันงาน
อยากได้ธีมไหน สีอะไร ก็บอกไปเลย ทางคุณหมิวจะทำแบบ 3D ออกมาให้ดูเรื่อยๆ 

จะปรับจะแก้ก็ได้เลยนะ
วันงานมีทีมงานจะคอยดูแลเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยนะ เอาน้ำให้กินตลอดๆๆ เทคแคร์ดี๊ ดี 555

ถือว่าสอบผ่านสำหรับเรา เราเดินออกมาดูก่อนงานเริ่ม ประทับใจ

คือพอเห็นแล้วก็ไม่อยากเพิ่มเติมอะไรแล้ว
จบงานไม่รู้จะพูดคำไหนนอกจากขอบคุณจริงๆที่ทำให้งานเราราบรื่น





วงดนตรี
- ก็ดูจากในเน็ตอีกแล้วววว ไปเจอกับวง Pup pa da ก็ไม่รีรออีกแหละ 

ดู youtube ตัดสินใจจองเลย คิคิ เป็นคนใจง่ายม๊าก
ในงานเราขอแบบเป็น full band เลย งานแต่งงานมันหวานในตัวเองอยู่แล้ว
ถ้าเอาวงพวกอะคูสติคอีก โอ้ยยย มันจะหวานหยาดเยิ้มไปหน่อย
เอา full band ดนตรีแน่นๆ นี่แหละ !

การบริการดูแลเอาใจใส่ถือว่าโอเคเลยนะ ใกล้วันงาน เราจะคุยกันถี่มาก 

มีทำสคริป เวลงเวลามาให้พร้อม
ที่สำคัญใส่ใจการแต่งตัวมาก แต่งมาตามธีมเหมือนกันนะ 55555555
ดนตรีโอเคเลยนะ โดยเฉพาะนักร้องหญิงมีแต่คนถาม จ้างวงมาจากที่ไหน คิคิ




Wednesday, May 13, 2015

The journey in Japan (Tokyo) 5

5 May 2014
( Shibuya , Harajuku , ศาลเจ้า Meiji , Roppongi ,Naka-meguro ,Daikanyama )

เที่ยววันสุดท้ายแล้วววววว
วันนี้รู้สึกตัวตอนตีห้ากว่าๆ เพราะนอนเร็วดูนาฬิกาสักพัก ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันสั่นแรงมาก
รีบปลุกพี่หนึ่งว่า แผนดินไหวๆๆๆ เปิดทีวีดูข่าวบ้านเค้า
แล้วก็เปิดเน็ตอ่านข่าวในเว็บไทยด้วย
สรุปมีแผ่นดินไหวที่โตเกียวจริงๆ 6.0 ริตเตอร์ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

วันนี้ตื่นเช้าหน่อยเพราะอยากจะเต็มอิ่มกับโตเกียววันสุดท้าย
ออกจากโรงแรมเดินไป Shinjuku นั่ง JR ไปลง Shibuya
เราโผล่ออกมาก็เจอห้าแยก ชิบุย่า อยากได้วิวเจ๋งๆ
ก็เลยข้ามไปฝั่งสตาร์บัค ขึ้นชั่น 2 ได้ที่นั่งริมหน้าต่างเลยยยยย 




ตาแว่นกินกาแฟเสร็จก็ออกเดินเล่นย่านชิบุย่ากันเลยย
พูดเลยว่าเดินคุ้มจริงๆ ไปทุกซอกทุกมุม แล้วก็เดินกลับไปทางสถานีรถไฟ เจอกับรูปปั้นหมาฮาชิ
ตรงนี้เป็นจุดสำหรับสูบบุหรี่ด้วย ถ่ายรูปแปบๆก็ต้องออกมา




นั่งรถไฟต่อไปยัง ฮาราจูกุ เป็นอะไรที่คนโคตรเยอะ แต่เค้าเดินกันได้เรื่อยๆนะ
ไม่ดูแออัดจนรู้สึกอึดอัดไม่อยากเดิน

ก่อนจะไปหา Onitsuka shop ก็แวะศาลเจ้า meiji ก่อน
แล้วก็เดินเข้าย่านฮาราจริงๆซะที ร้านค้าเยอะมากกกกกก คนในโตเกียววันหยุดเค้าคงมารวมกันอยู่นี่ละมั้ง
เราได้รองเท้ามาคู่นึง แต่ตาแว่นอยากไปดูที่สาขาอื่นก่อน

เลยเดินออกมานั่งรถไฟไป รปปุงิ ฮิล ตึกที่มีแมงมุมตัวใหญ่ๆ ใช้เวลาอยู่นี่แปบเดียว 

หลักคือตามหา Onitsuka แต่ก็ไม่มี - -" 

แล้วก็นั่งรถไฟต่อไป นากาเมกุโระ มาย่านนี้น่ารักอ่ะ คือบ้านตึกเค้าเล็กๆเงียบๆ 

คนน้อยๆ เดินเล่น อยู่สักพักเนื่องจากหลง หาทางไปต่อไม่เจอ

ก็นั่งรถต่อไปสถานีนึงถึง ไดคังยามะ ที่นี่เป็นย่านเซเลบ ปล. Tak กับ Ippei บอกมา
เราก็สังเกตว่าร้าน brandname เยอะแยะ รวมถึง Onitsuka ตาแว่นได้รองเท้าที่นี่ 






มองนาฬิกาอีกที ตายละอีกแค่ครึ่งชั่วโมงจะหกโมงแล้ว เพื่อนตาแว่นนัดเจอ
แบต wifi ก็หมด ตาแว่นเลยเปิด data roaming เพื่อส่ง text ไปบอกว่าจะกลับโรงแรมก่อนเพื่อเอาที่ชาร์ต

สรุปได้เจอกันตอนหกโมง 40 เพื่อนตาแว่นมายืนรอกันแล้ว
Tak กับ Ippei เป็นเพื่อนตอนที่ตาแว่นไปเรียนภาษาที่อังกฤษ ที่ UK


พาไปกินชาบู ชาบู แบบญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว แต่เรากลับรู้สึกไม่ค่อยถูกปาก คงเพราะไม่สบายด้วย
สองคนนั้นให้ของที่ระลึก welcome to japan กับเราสองคนด้วย

เป็นคนญี่ปุ่นที่ดูอารมณ์ดี ใจดี และมีน้ำใจ




อย่าง Tak ก่อนวันนัดเจอ พี่หนึ่ง text ไปถามเกี่ยวกับยาที่ซื้อมาว่าใช่ยาตัวนี้มั้ย เพราะยาที่ญี่ปุ่นไม่มีภาษาอังกฤษเลย
Tak ก็ถามว่าพวกเราพักกันตรงไหน เค้าจะนั่งรถไฟเอายามาให้ ..เป็นน้ำใจดีๆ
ส่วน Ippei ไม่ได้พักอยู่ในโตเกียว แต่ก็เข้ามาหาโรงแรมนอนในโตเกียวเพื่อนัดเจอกับเราสองคน

กินชาบูกันเสร็จ ก็พาเราสองคนไปซื้อกล้องถ่ายรูป
ช่วยคุยกับพนักงานญี่ปุ่นแล้วแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้เราอีกที
เพราะพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เด๋วสื่อสารผิดๆถูกๆ

ซื้อกล้องเสร็จประมาณ 4 ทุ่ม ออกมาจากร้าน ร้านรวงปิดเงียบหมดแหละ
คือบ้านเค้าปิดร้านกันเร็วมาก
แล้วก็ Tak กับ Ippei ก็ส่งเราสองคนขึ้นรถไฟใต้ดินกลับโรงแรม

บ๊ายบายย แล้วเจอกันใหม่แน่นอน

กลับโรงแรมเราเตรียม pack ของทั้งหมด 

เราไม่ได้ shopping เยอะแยะอะไรมากเลยแพ๊คกระเป๋าได้แบบพอดีๆ
เตรียมลาแล้วญี่ปุ่น .. นอนคืนสุดท้าย ไม่อยากกลับเลย 



6 May 2014
(Back to BKK ... Bye bye Tokyo) 

ตื่นตีห้า ออกจากโรงแรมหกโมง 
ลากกระเป๋าไปสถานี JR Shinjuku ซื้อตั๋วรถไฟไปนาริตะราคาสองพันกว่า Yen
เครื่องบินออก 11 โมง 

เรามีเวลาเหลือเฟือมากที่สนามบิน ใช้เงิน Yen ก่อนกลับที่สนามบิน ซื้อขนม นู่นนี่นั่น 555

แล้วก็ได้เวลาบอกลาญี่ปุ่นจริงๆแล้วววว
ใจหายจังขนาดอยู่ 7 วัน ยังอยากอยู่ต่อเรื่อยๆเลย (แต่ก็คิดถึงอาหารไทยนะ ฮาๆ)

ญี่ปุ่นยังมีอะไรให้เที่ยวอีกเยอะ
ไว้เราจะกลับมาใหม่นะ 


สรุปแล้ว เราใช้เวลาเที่ยวและเดินทางทั้งหมด 8 วัน

The journey in Japan (Tokyo) 4

3 May 2014
(เก็บตก Ueno เดินเล่น Park ซื้อของที่ตลาด , เปล่ยที่พักลากกระเป๋าเข้า Shinjuku)

4 วันแล้วว ที่มาเที่ยว Tokyo
วันนี้ตื่นสายหน่อย เก็บของเข้ากระเป๋าแล้วลงไป check out ฝากกระเป๋าไว้ก่อน
จะไปเดินเก็บตกแถวๆ Ueno 


เริ่มด้วยเดินไปตึก Takeya ตึกม่วง ซึ่งในหนังสือแนะนำ แต่เราไม่ได้อะไรติดมือมาเลยย
เสร็จก็เดินกลับมาเดินตลาด Ameyoko ซื้อเครื่องสำอางค์ และหาร้านขนมข้างๆศาลเจ้าซื้อของฝาก
ได้ของจนพอใจล่ะ 5555 ก็ซื้อข้าวปั้น 1 กล่อง 8 ชิ้น ราคา 200 กว่า Yen






หอบหิ้วไปเดินเล่นที่ Ueno Park วันหยุดของคนที่นี่
คนเยอะมากเลยยยยย มาเดินเล่น Park
แวะพักนั่งเล่น กินข้าวปั้นใช้ชีวิต style คนญี่ปุ่นดูหน่อย ฮาๆๆ


ได้เวลาก็กลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรม
เตรียมเข้าไปพักที่ Shinjuku
ลากกระเป๋าเหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกวันนี้ กว่าจะถึงโรงแรม หลงทาง เดินอ้อมไปอ้อมมา
พลังหมดกว่าจะถึงโรงแรม check in เรียบร้อยก็พักผ่อนในโรงแรมไม่นาน

ก็เดินเล่นย่าน Shinjuku ซื้อของ ยิ่งเดินยิ่งเจอของถูกกว่าที่ซื้อมา
เดินสักพักเริ่มไม่ไหวแล้ววววว วันนี้เหนื่อยจริงๆ ห้าโมงก็เข้าที่พัก
เริ่มเข้าโหมดป่วยจริงจังละวันนี้


4 May 2014
( ตึก Tokyo Metropolitan Government Building , Kichijoji , Koenji)

ตื่นแปดโมงเช้า วันนี้อาหารเช้าพึ่ง Mc ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมง่ายๆนี่แหละ
แต่ set อาหารเช้าเค้าไม่เหมือนบ้านเรานะ 


แล้วก็เดินๆๆๆไปตึก metropolitan government building ชมวิวที่ชั้น 45
แล้วก็นั่งรถไฟ metro ต่อด้วย JR ไป Kichijoji เป็นเมืองเล็กๆ และมี Park
มีการแสดง และขายของทำมือ เรานั่งอินบรรยากาศแปบนึงก็เดินเล่นออกมาเรื่อยๆ





นั่งรถไฟกลับไปย่าน Koenji  ว่า Kichijoji เงียบๆเล็กๆแล้ว
Koenji เงียบกว่ามากเลยยยยยยย ย่านนี้จะเน้นร้านน่ารักๆ ออกแนว vintage เราเข้าแวะร้านกาแฟน่ารักๆอยู่ร้านนึง
กินสลัดอโวคาโด้ hot chocolate และ hot milk green tea

ตอนเราไปร้านนี้ลูกค้าเยอะ เราได้โต๊ะชั้น 3 เป็นโต๊ะใต้หลังคา
เวลาสั่งเค้าบอกให้กด ออด แล้วบอกว่าเราจะสั่งอะไร แต่ !! เมนูมีแต่ภาษาญี่ปุ่นนะ
เราเลยต้องบอกเค้าว่า เราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ต้องชี้รูปเอา 5555 




นั่งให้พออุ่นๆหน่อย เพราะข้างนอกลมแรง อากาศเย็น
แล้วเราก็เดินเล่นออกมานั่งรถไฟ JR กลับไปที่ Shibuya 

กะว่าจะไปย่าน จินยู หรือคนไทยเรียกว่าเมืองขนมหวานน่ะเอง
แต่ไปไม่ถึง เนื่องจากเราป่วยมากวันนี้ รู้สึกเวียนหัว และล้ามากจริงๆ
ตัดสินใจกลับโรงแรมดีกว่า สงสารตาแว่นเหมือนกันอยากเที่ยว แต่เราไม่ไหว
สี่โมงถึงโรงแรม แวะซื้อยาที่ร้านในรถไฟใต้ดิน ถึงโรงแรมเรานอนยาวเลย

หาซื้อข้าวต้มก็ได้ข้าวต้มในเซเว่น - -"
ตื่นกินข้าวตอนสองทุ่ม แล้วตาแว่นก็ลงไปกินข้าว ดื่มเบียร์ใต้โรงแรมคนเดียว ฮาๆๆ



The journey in Japan (Tokyo) 3

2 May 2014
(ดูฟูจิซัง Kawaguchiko , Akihabara)

วันนี้ตั้งนาฬิกาปลุกเช้ามากกกกกกก ตีห้า 
เพราะต้องออกจากห้อง 6 โมงเช้าให้ทันเที่ยวรถไฟ ที่จะไปดูภูเขาไฟฟูจิ ที่ Kawaguchiko 
นั่ง JR ไปลง Shinjuku แล้วต่อ รถไฟ สาย Azusa  ไปลงสถานี Otsuki 
แล้วซื้อตั๋วรถไฟอีกรอบ สาย Fujikyu Railway 
ไปลงที่สถานี Kawaguchiko 

ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง อ่านจากในเน็ตเค้าว่า bus ต่อเดียวถึงประหยัดเวลากว่า
แต่ช่วงที่เราไปเป็นช่วงจะถึง Gloden week ของ japan 

ซึ่งรถอาจจะติดได้เราก็เลี่ยงไว้ก่อน

ถึงสถานีรีบไปต่อคิวที่ bus stop รอรถ retro bus 

ซื้อตั๋ว one day pass ในราคา 1000 Yen สามารถซื้อได้ขับคนรถเลย
มี 21 สถานี ขึ้นรถได้ตามใจชอบเลย แต่เราไปลงสถานีสุดท้ายก่อนแล้วไล่ๆขึ้นมาต้นๆสถานี 


ระหว่างทางไปเราเริ่มเห็นฟูจิแล้วล่ะ สวยมากกกกกกกกกจริงๆ

ตื่นเช้าๆมาหายง่วงเลย ตื่นเต้นกับฟูจิซัง
พอถึงสถานีเมฆเริ่มจะเยอะๆขึ้น พอเราถ่ายรูปเสร็จ คนมาหลังจากเรา 

แทบไม่เห็นยอดแล้ว เพราะเมฆบัง
โชคดีจริงๆที่มาถึงเร็ว พอเที่ยงๆก็เริ่มนั่งรถย้อนขึ้นไป

จบที่นั่ง ropeway ชมวิวไกลๆด้านบน
บ่ายสองนั่งรถกลับมาต้นทาง แวะกินราเมงเทมปะรุ ร้อนๆก่อน 

ซื้อตั๋วรถไฟกลับแบบเดิม หลับยาวเบย

ถึง Ueno ห้าโมงกว่าๆ กลับเข้าที่พักแว่บนึง พักผ่อนนิดหน่อย
แล้วก็ออกมานั่ง metro ไป ย่าน Akihabara ขายพวกโมเดล ของเล่น เยอะแยะ
เราเน้นเดินเข้าไปดูละเดินออกมา ตาแว่นอยากได้ แต่เราก็ห้ามไว้

แล้วก็เดินมากินข้าวแกงกระหรี่ใกล้ๆสถานีรถไฟ จบไปอีกหนึ่งวัน
เที่ยวญี่ปุ่นวันนึงสั้นๆ ไม่มีเบื่อเลยยยยยยยย




The journey in Japan (Tokyo) 2

1 May 2014
(พระราชวังอิมพีเรียล , Tokyo station , เมือง Odaiba) 

ตื่นแปดโมง บ้านเมืองที่นี่เค้าเริ่มช้า และจบลงเร็วยังไงไม่รู้
ร้านค้าจะเริ่มเปิด 10 โมง และปิดสองสามทุ่ม
บ้านเราเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ยังเปิดเฮฮาเลย 5555

วันนี้เรายังใช้บัตร 2 day pass metro ดังนั้น เราจะใช้แต่รถใต้ดินตลอดทั้งวันจ้าา ประหยัดและคุ้ม
เริ่มมื้อเช้าซัดมาม่ากระป๋องที่ซื้อตุนไว้เมื่อวานตอนเย็น
แล้วก็นั่งรถไฟไปโผล่หน้าพระราชวังอิมพีเรียล ชื่อสถานีจำไม่ได้
เดินในนั้นมันกว้างจริงๆ เดินไปถ่ายรูปไป กดตู้น้ำ กินไอศรีม .... 

ได้เวลาก็เดินออกไปเรื่อยๆ ตามแผนที่เพื่อจะเดินไป
สถานีรถไฟ Tokyo station เป็นสถานีรถไฟที่คลาสสิกมากๆ สวย และข้างในมีร้านอาหารเยอะมาก 

ร้านขายของที่เป็นเอกลักษณ์ ของตัวการ์ตูนต่างๆแทบจะทุกตัว 
เรากินราเมงที่นี่ เลือกกินราเมงแกงกระหรี่ เห็นโต๊ะข้างๆกินน่าอร่อย
ชามใหญ่มากด้วย  คิดตังออกมาสองชาม 1700 Yen มั้งก็แพงอยู่น๊าาาา


อิ่มแล้วก็เดินๆๆไปหา metro เพราะที่เราอยู่มันเป็นรถไฟ JR คนละสายกับรถไฟ metro (วันหลังๆถึงจะนั่ง JR)
นั่งรถไฟต่อสายนู่นสายนี้ จนถึงสถานีที่ต้องซื้อตั๋วรถไฟเพิ่ม
เพราะเป็นสายรถไฟที่วิ่งเฉพาะเมือง Odiba เราซื้อตั๋ว One day pass ประมาณ 800 Yen
ขึ้นรถสถานีไหนก็ได้ แต่จริงๆ ลงสถานีนึงก็เดินทะลุกันได้หมด - -"

Odaiba เป็นเมื่องที่ดูทันสมัย เป็นท่าเรือ มีสะพานสายรุ้ง มีห้างใหญ่ๆใหม่ๆขึ้นเยอะเลยยยย
มีกัมดั้มตัวโตเท่าตึกด้วยย มีพิพิธภัณฑ์รถเก่าๆ เราอยู่ที่นี่ตั้งแต่บ่ายสองจนเย็น
พอประมาณหกโมงครึ่ง ตึกสถานีโทรทัศน์เค้าจะเปิดไฟแว่บๆเล่นตามกับจังหวะเพลงด้วยนะ
สวยๆ ต้องไปเห็นกับตา อ่านตัวหนังสือไม่เท่ากับสมัผัสจริงๆ

ค่ำนั้นกินซูชิที่ Odaiba เลือกร้านตามใจฉัน เจอร้านไหนก็กินเลย
กลับโตเกียวจะได้เข้าที่พักเลย ยย
ถึงที่พักสองทุ่มกว่าๆ นอนแช่ร้อน เมื่อยขามากๆ

ปล. วันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใสสุดๆ







The journey in Japan (Tokyo) 1

ก็อยากลองเที่ยว 
คิดว่าถ้าได้ไปเที่ยวครั้งต่อๆไปจะกลับมาบันทึกทุกครั้ง 

จริงๆแล้ว Trip นี้ เรา Note สั้นๆ ไว้ใน Notenook เพิ่งจะอยากหาที่ลง ..  1 ปี ผ่านไปแล้ว ไม่นานเนอะ คิคิ 
เอาเป็นว่าสำหรับ Trip นี้เรา copy ที่เราเขียนไว้มาแปะเลยละกัน ^^"

.
.


29 April 2014

สวัสดีอยากกลับมาเขียน Diary อีกสักที เพราะไปเที่ยวญี่ปุ่น ไดอารี่นี้จึงเกิด
อยากบันทึก ไว้กลับมาอ่าน .. เป็นความทรงจำดีดี
กลัวทิ้งไว้แล้วก็จะลืมมันไปอีก .. ขอเริ่มจากวันเดินทางเลยละกัน


ยังทำงานตามปกติเหมือนทุกวัน 

เลิกงานหกโมงรีบกลับบ้าน ถ้ารีบจริงๆ ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเอง
ถึงบ้านเวลาเหลือๆ เตรียมตัวสบายๆเลยยยย
ออกจากบ้านสองทุ่มเกือบจะครึ่งแล้วววววว ตาแว่นบอกว่าทัน !
สามทุ่มก็ถึงสนามบิน 


เราเช่า pocket wifi ของบริษัท bs-mobile ไว้ด้วยต้องไปรับที่ชั้น 4 ประตู 3
เช่าทั้งหมด 6 วัน ราคารวมประกันก็ 1900 นิดหน่อย 

เค้าไม่คิดวันรับเครื่องกับคืนเครื่อง (เปิดใช้ได้เฉพาะที่ญี่ปุ่นนะจ้ะ)
สำหรับ pocket wifi ของบริษัทนี้ เราว่าสัญญาโอเคนะ แต่แบตหมดค่อนข้างเร็ว

เครื่องออก 23.50 ตรงเวลาเป๊ะ 

เดินทางด้วยการบินไทย ตั๋วถูกๆกับการแลกไมล์บัตรเครดิต บินตรง 6 ชั่วโมง


นอนบนเครื่องไม่ค่อยหลับ ตีสามตามเวลาประเทศไทยก็ตื่นแล้วว เพราะท้องฟ้าสว่างจ้าาาา
ประเทศญี่ปุ่นเวลาเร็วกว่า 2 ชั่วโมง สรุปคืนนี้นอนไปแค่ 3 ชั่วโมง - -" 


เครื่อง landed เรียบร้อย พร้อมละ ครั้งแรกกับต่างประเทศ เฮ้


30 April 2014 
(เที่ยวย่าน Asakusa , Tokyo sky tree , ตึกฟองเบียร์ Asahi , วัดเซนโซจิ , ย่าน Ueno ตลาด Ameyoko)


ลงเครื่อง รอรับกระเป๋า ก็น่าจะประมาณแปดโมงกว่า อิงตามเวลาญี่ปุ่นละนะ
ลากกระเป๋าลงไปชั้นล่างจะเจอ counter ของรถไฟ keisei เรานั่งรถไฟ แบบ skyliner เข้าไป Ueno
ราคาตั๋วรถไฟเข้าโตเกียว + 2 day pass for metro ราคารวมๆ 2990 yen

รถไฟออก 9.24 ตรงเวลามากรถไฟญี่ปุ่น เรามีเวลานั่งรอรถไฟประมาณ 30 นาทีเลยทีเดียว
ลงมารอเร็วไปหน่อยยย
สิบโมงครึ่งก็ถึงสถานี Ueno ถึงตรงนี้เริ่มต้องเปิด กระดาษที่ print มาแล้วว่าเดินไปทางไหน
เดินตามทางใต้ดินเรื่อยๆเลยตามเส้น Ginza line (วงกลมสีส้มๆ) ไปทางประตู 

1-2 โผล่ออกมาก็เจอโรงแรม  Mitsui เลยย
ใกล้มาก สะดวกสุดๆ

เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลา check in  

พอถึงเวลาเค้าจะเอากระเป๋าไปไว้บนห้องให้เลย
ถึงโรงแรมก็ขอเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน  .. เป็นครั้งแรกที่เข้าน้ำที่ญี่ปุ่น ฮาๆๆๆๆๆ ทันสมัยที่สุด
แล้วเราก็ออกลุยเลยยยย

ที่แรกเดินขึ้นจากรถไฟ metro ก็ต้องเข้า familymart ซื้อร่ม ฝนตก 515 Yen 

(แนะนำถ้าซื้อข้างนอกจะถูกกว่ามากๆ 100กว่า yen เท่านั้น)
แล้วก็เดินไปที่สะพานแดงๆก่อนเพื่อไปถ่ายรูป วิวตึก Tokyo sky tree กับ ตึกฟองเบียร์ หรือตึก Asahi นั่นเอง
เดินกลับไปกลับมาอยู่ซักพักก็เดินกลับไปทางสถานีรถไฟ

เพื่อไป วัด Senjoji มาถึงวัดฝนตกแรงเลยยย หนาวมากกก แต่ตกแปบๆก็หยุด
เดินเล่นในวัดถ่ายรูปอยู่ซักพักก็เดินเล่นร้านขายของกินหน้าวัด
เลยซื้อขนม เค้าเรียกว่าอะไรล่ะ ที่ทอดๆแล้วมีไส้ข้างใน สั่งไส้คาสตาร์ด 1 ลูก 170 Yen

เดินออกมาหน้าวัดตามหาร้านราเมงตู้กด ตามหนังสือ กินแบบ Original สุดๆ ชามละ 650 Yen
เสร็จเรียบร้อยก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับย่าน Ueno
เดินขึ้นมาตลาด Ameyoko เป็นการเดินงูๆปลาๆจบับต้นชนปลายไม่ถูก
เดินไปเรื่อยๆ สุดท้าย หลง งงงวยกับทิศทาง มันคือตรงไหน !! 

ทั้งๆที่ความจริงมันก็ไม่ยากอย่างที่คิด(เพิ่งกระจ่างตอนวันหลังๆ)

ฝนตกแรง park เลยไม่ได้ไปเดินเล่นเลยยยยย
บ่ายสามโมงกลับโรงแรมดีกว่า พักผ่อนมาน้อย ล้ามากมาย
จบวันแรกแบบเหนื่อยๆแต่ happy จ้าาาาาา (เรายังคงตื่นเต้นกับบ้านเมืองที่ญี่ปุ่น)